Burger & Lobster
หลังจากที่ Check-in ที่โรงแรมเขต 4 แถว Wembley Stadium ผมก็นั่ง Underground มาลงที่สถานี Green Park เพื่อหาอะไรรองท้องก่อน สำหรับมื้อแรกที่ผมแพลนไว้คือไปลอง Burger & Lobster ซึ่งตอนนี้มีอยู่ด้วยกันถึง 4 สาขาใน London ของผมนี่ไปลองแถวย่าน Mayfair ร้านหาไม่ยากครับ ขึ้นมาจากสถานี Green Park เดินไปทางขวา ข้ามไป 2 ซอย แล้วเลี้ยวเข้าซอยไป 100-150 เมตร ก็จะเจอร้าน Burger & Lobster แล้ว
สำหรับที่ร้านนี้จะไม่มีเมนูอาหาร เพราะว่ามีเพียงแค่ 2 เมนูเท่านั้น คือ Lobster (เลือกได้ว่าจะย่างหรือนึ่ง) แล้วก็ Lobster roll หรือ burger มั้ง ทุกเมนูราคา 20 ปอนด์เท่ากันหมด ตกเป็นเงินไทยถ้าคูณ 52 บาทก็จะอยู่ที่ราวๆ 1,040 บาท พื้นที่ในร้านจะมีทั้งส่วนของบาร์ และส่วนของโต๊ะสำหรับทานอาหารปกติ ส่วนเครื่องดื่มผมลองเบียร์ Asahi และ Aspall Suffolk ไป แนะนำเจ้าตัวหลังเลยครับ อร่อยมาก สนนราคาอยู่ที่ขวดละ 5 ปอนด์เท่านั้น นอกจากนี้สิ่งที่ชอบอีกอย่างคือพนักงานที่นี่ดูมันส์ และสนุกกับงานมาก มีการทักทายแขกอยู่ตลอด มันคนละอารมณ์กับพนักงานเสิร์ฟพวกร้านอาหารจีนอย่างพวก Four Seasons
Big Ben
หลังจากอิ่มท้องไปแล้วผมก็นั่ง Underground ไปยัง Landmark สำคัญของ London นั่นคือ หอนาฬิกา Big Ben และ House of Parliament การเดินทางมาที่นี่ไม่ยากเลย แค่นั่ง Underground มาลงที่สถานี Westminster มี Underground ผ่าน 2 สายคือสายสีเหลือง Circle Line และสายสีเขียว District Line ซึ่งในปัจจุบันถูกใช้เป็นรัฐสภาของอังกฤษ ตัวหอนาฬิกามีความสูง 96.3 เมตร โดยที่ตัวนาฬิกาอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร ตัวอาคารสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Victorian Gothic หอนาฬิกานี้ถูกสร้างหลังจากไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เดิมในปี 2377
หลายคนเข้าใจว่า Big Ben เป็นชื่อหอนาฬิกาประจำรัฐสภาอังกฤษ แต่แท้ที่จริงแล้ว Big Ben เป็นชื่อเล่นของระฆังใบใหญ่ที่สุด หนักถึง 13,760 กิโลกรัม ซึ่งแขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ทั้งนี้มีระฆังรวมทั้งสิ้น 5 ใบ โดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนอง ส่วน Big Ben จะถูกตีบอกชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้บนหน้าปัดนาฬิกา แต่คนส่วนใหญ่จะใช้ชื่อ Big Ben แทนตัวหอทั้งหมด

แต่ไฮไลท์อีกอย่างนึงที่อยากแนะนำคือการมาชม Big Ben ในช่วงค่่ำ เพราะจะได้อารมณ์อีกแบบนึงกับช่วงกลางวัน
London Eye
เดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งก็จะถึง London Eye หรือยังรู้จักในชื่อ Millennium Wheel เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป มีความสูง 135 เมตร ถูกสร้างขึ้นเพื่อรับยุค Millennium ในช่วงปี 1999-2000 ต่อมากลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มีผู้เดินทางมาเยือนมากกว่า 3 ล้านคนต่อปี ส่วนบัตรเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 15 ปอนด์ต่อคน (แนะนำให้จอง On-line จากที่บ้านไปเลย หากตั้งใจว่าจะขึ้นอยู่แล้วนะครับ ไม่ต้องไปต่อคิวซื้อตั๋ว บัตรจะมีให้เลือกว่าจะไปรับที่นั่น หรือว่าจะปรินท์ไปเลย ถ้าจองออนไลน์ก็ปรินท์ไปเลยสะดวกสุด) เข้าไปดูรายละเอียด และจองได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
ในอดีต London Eye เคยเป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก ก่อนจะเสียตำแหน่งให้กับ เดอะ สตาร์ ออฟ นานชาง ในประเทศจีน (160 เมตร) ในเดือนพฤษภาคม 2006 ต่อมาภายหลังตำแหน่งตกเป็นของ สิงคโปร์ ฟลายเออร์ ในประเทศสิงคโปร์ (165 เมตร)
หากใครอยากชมวิวจาก London มุมสูง London Eye ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีไม่น้อยในการชมทัศนียภาพของมหานครลอนดอน แนะนำให้ขึ้นชมช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกจะสวยมาก ตอนผมไปกะเวลาผิดไป เพราะจองออนไลน์ กะว่าช่วง 4 โมงเย็นในฤดูหนาวฟ้าจะมืดแล้ว เพราะตอนไปออสเตรียช่วงเดียวกัน บ่าย 3 ครึ่งก็แทบจะมืดแล้ว ปรากฏตอนที่ขึ้น London Eye ฟ้าไม่มืดครับ แถมครึ้มๆ หลัวๆ ตลอด แอบเซ็งเหมือนกัน แต่รวมๆ ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่
ขอจบตอน 2 ไว้แค่นี้ก่อนนะครับ ไว้รออ่านต่อตอนหน้านะคร้าบ :3
0 comments