ผมเพิ่งกลับจากทริปแบกกล้อง ท่องยุโรปได้ 2 อาทิตย์ ทริปล่าสุดของผมจำนวน 10 วัน 9 คืน (ไม่นับวันเดินทาง) จริงๆ ทริปนี้แพลนล่วงหน้าตั้งแต่เดือนกุมภา เพราะว่าได้ตั๋วถูก บิน Etihad จากกรุงเทพ ไปลงปารีส และบินกลับจาก มิวนิค ไปลงกัวลาลัมเปอร์ แล้วต่อ Low-cost กลับมาดอนเมือง
ตอนจองตอนแรกนี่ราคารวมหมดอยู่ที่ 21,000 แถมบินออกจากกรุงเทพ ก็โอเคแหละครับ แต่ Lion Air ที่ผมจองไว้ มา Retime ก่อนผมจะบินแค่ 1-2 อาทิตย์ แล้วทำให้ต่อเครื่องไม่ทัน ต้องจองใหม่ เลยโดนแอร์เอเชียไปอีกเกือบ 2,000 พอเป็นแบบนี้ก็มีเซ็งครับ ถ้างี้บินตรงสายการบินอื่นดีกว่า เพิ่มอีกไม่กี่พัน ไม่ต้องบินอ้อม ไม่ต้องเสียเวลา ไม่เหนื่อย สรุปการจองตั๋วเครื่องบินแบบ Multi- City สำหรับผมคงเป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้าย รอบหน้าบินตรงเหมือนเดิมแน่นอนครับ

แต่ในรีวิวนี้ผมจะเขียนถึงวันที่ 6 ก่อนแล้วกันครับ นั่นคือวันที่ผมนั่งรถไฟ ไปจิบเบียร์ บนยอดเขา Zugspitze จุดที่เค้าว่ากันว่าสูงที่สุดในประเทศเยอรมัน ก่อนที่จะถึงทริปนี้ เดิมทีผมวางแพลนไว้ว่าจะไปที่ Rothenburg ob der Tauber ในวันที่ 6 เพราะช่วงก่อนเดินทาง ผมเช็คสภาพอากาศ และหิมะวันต่อวัน ซึงมันดูเบาบางมาก ชนิดที่ว่าตกมาวันนึง วันต่อมาก็ละลายหมดแล้ว ผมจึงกะว่าค่อยไปรอเช็คสภาพอากาศที่นู่นเอาอีกที ในวันก่อนเดินทางแล้วกัน ถ้าหิมะละลายหมด ผมจะไปที่ Rothenburg แทน
Tips : หากอยากขึ้นเขาที่ยุโรป แนะนำให้เช็คสภาพอากาศบนยอดเขาก่อนตัดสินใจเดินทางนะครับ เช็คจาก Webcam ของที่ที่เราจะขึ้นนั่นแหละ เพราะถ้าเจอหมอกปกคลุม ฟ้าไม่เปิด ก็จะได้สลับแพลนไปเที่ยวที่อื่นดีกว่า อันนี้ผมเคยพลาดมาที ตอนขึ้น Jungfraujoch ไม่ได้เช็คก่อน เพราะวันก่อนหน้านั้นฟ้าใส แดดแรงมาก แต่พอวันที่จะขึ้นหิมะถล่มครับ แทบมองไม่เห็นอะไรเลย เสียดายค่ารถไฟมาก ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ เลย
ส่วนถ้าใครจะไป Zugspitze ก็สามารถเช็คได้จากเวบนี้เลยครับ มี Webcam ให้เช็คอยู่หลายจุดมาก
http://zugspitze.de/en/news/weather/panoramakameras
ภาพทิวทัศน์ริมหน้าต่างระหว่างนั่งรถไฟชั้น 2 มุ่งหน้าสู่เมือง Garmisch-Partenkirchen
การเดินทาง : เนื่องจากผมใช้ Munich เป็นฐาน และจัด Day-trip สำหรับไป Zugspitze และ ปราสาท Neuschwanstein แยกกันคนละวัน จึงพักที่ Munich ซะ 3 คืน ถามว่าย้อนมั้ย ก็ย้อนไปย้อนมาแหละ แต่ก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่ เพราะผมขี้เกียจแบกกระเป๋าเปลี่ยนที่นอนทุกคืน ดูเหนื่อยไป
Tips : สามารถใช้ Bayern Ticket ได้ ซึ่งถือว่าประหยัดไปได้เยอะ ถ้าเดินทาง 2 คน ราคาแค่ 28 ยูโร แต่จะสามารถโดยสารได้แค่รถไฟประเภท RB, RE, IRE, ALX, S-Bahn, รถไฟใต้ดิน, รถราง, รถบัสในแคว้นบาวาเรียเท่านั้น ถ้าเข้าเวบ DB ก็ติ๊กถูกหน้าช่อง Local Train Only จบครับ และเวลาในการใช้ตั๋วดังกล่าวคือหลังจาก 9 โมงเป็นต้นไป ดังนั้นเวลาหารอบในเวบ DB ผมก็จะเลือกรอบแรกหลังจาก 9 โมง แต่วันที่ผมไป Garmisch-Partenkirchen นี่รถไฟว่างมาก แทบจะเหมาทั้งขบวน อยากนั่งตรงไหนที่อยู่ในชั้น 2 ก็ทำได้ ผิดกับวันที่ไป Neuschwanstein รถไฟแน่นมาก เต็มทุกที่นั่งชนิดที่นั่งหัวเข่าชนกับผู้โดยสารฝั่งตรงข้ามเลย
การเลือกสถานี ให้เลือกลงที่สถานี Garmisch-Partenkirchen ครับ นั่งไปประมาณ 1.20 ชั่วโมงก็ถึง
จากนั้นตอนลงจาก Platform ให้เลี้ยวไปทางซ้าย แล้วพอขึ้นมาจะเห็นตึก เนื่องจากรถไฟ Cock wheel เป็นของเอกชน เราจึงต้องจ่ายค่าตั๋วเพื่อนั่งรถไฟหรือกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาอีกที คนละ 52 ยูโร (ไป-กลับ) พร้อมแล้วตามขึ้นรถไฟ cock wheel ไต่สู่จุดสูงสุดของประเทศเยอรมันกันเลยครับ
การเดินทางขึ้นสู่ยอดเขา Zugspitze สามารถทำได้ 2 วิธีนั่นคือ
1.นั่งรถไฟ cock wheel จาก Garmisch Partenkirchen ไปลงที่ Eibsee แล้วต่อกระเช้าขึ้นไป/ ขากลับนั่งกระเช้าลงไปที่ Eibsee และนั่งรถไฟกลับไปที่สถานี Garmisch Partenkirchen
2.นั่งถไฟ cock wheel จาก Garmisch Partenkirchen ไปลงที่ปลายทาง Gletscher (ถ้าผมจำไม่ผิด) จากจุดนี้นั่งกระเช้าอีกทีเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดของภูเขา/ วิธีเดินทางกลับเหมือนกับแบบแรก
ภาพบรรยากาศในรถไฟ cock wheel และทิวทัศน์ระหว่างนั่งรถไฟไต่เขา นั่งๆ ไปซักพัก พอรถไฟเริ่มไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ เราก็เริ่มที่จะเห็นหิมะตลอดทั้ง 2 ข้างทางแล้วครับ

พอออกมาก็เดินตามเค้าได้เลยครับ หลังจากที่เราก้าวพ้นประตูไป ลมเย็นระดับบนยอดเขา บวกกับความเย็นของหิมะ ก็ปะทะเข้ากับตัวเราอย่างจัง อุณหภูมิในขณะนั้นน่าจะราวๆ -5 องศา แต่โชคดีเอามากๆ ที่ฟ้าเปิด ทำให้เห็นฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับแสงของพระอาทิตย์ ทำให้ผมรู้สึกประทับใจตั้งแต่ขึ้นไปถึงแค่ระดับแรกเลย
ปกติผมเที่ยวยุโรปเฉพาะในช่วงฤดูหนาวๆ ราวๆ เดือนธันวา เพราะชอบบรรยากาศตลาดคริสมาสครับ แต่รอบนี้เป็นครั้งแรกที่มาในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ราวๆ กลางเดือนตุลาคม ถึงปลายเดือนตุลาคม ถามว่าใบไม้เปลี่ยนสีมันสวยมั้ย ผมว่าถ้าวันไหนมีแดดก็สวยครับ แต่แดดหมดก็จบกัน แต่ถึงต่อให้วันที่มีแดด ผมก็ยังชอบหิมะ และฤดูหนาวมากกว่าอยู่ดี เลยรู้สึกว่าผมคงไม่อินกับฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเท่าไหร่
ภาพบรรยากาศรอบๆ ก่อนจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของเทือกเขา Zugspitze ครับ
เอาล่ะครับ ได้เวลานั่งกระเช้ากันอีก 1 ต่อมุ่งสู่จุดสูงสุดของประเทศเยอรมัน เทือกเขา Zugspitze ที่ระดับความสูงกว่า 2,962 เมตรจากระดับน้ำทะเล ที่นี่จะอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมัน และมีพรมแดนติดกับประเทศออสเตรีย
ที่นี่ก็มีร้านอาหารเหมือนกันครับ แต่ผมชอบบรรยากาศแบบด้านล่างมากกว่า
จากจุดนี้ในวันที่อากาศเป็นใจ เราสามารถมองเห็นยอดเขาจากทั้ง 3 ประเทศครับ ประกอบด้วย
1. GroBglockner, Tiroler Wildspitze, Austria
2. Marmolada, Ortler, Italy
3. Piz Bernina, Switzerland
ส่วนที่เห็นเป็นแท่งๆ สีทองๆ ด้านซ้าย จุดนั้นคือจุดที่สูงที่สุดของยอดเขา Zugspitze ครับ แต่ช่วงที่ผมไป เค้าปิดไม่ให้เข้าไปบริเวณนั้น ผมเลยอดปีนขึ้นไปถ่ายรูปตรงนั้นเลย เอาเป็นว่าชมวิว และบรรยากาศรอบๆ จากจุดสูงสุดของประเทศเยอรมันไปก่อนแล้วกันนะครับ
เนื่องจากทริปนี้ ตอนแรกผมไม่ได้กะขึ้นเขา เพราะจะไปที่อื่นแทน แต่พอเปลี่ยนแพลนขึ้นเขา ทำให้อุปกรณ์กันหนาวก็ไม่ได้ครบเท่าไหร่ครับ ตอนที่ออกไปถ่ายรูปด้านนอก จึงได้ได้พักใหญ่ๆ พักนึง ก็รู้สึกราวกับหูจะหลุดแล้ว ต้องหลบหนาวเข้าบริเวณด้านในเพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายซักพักTips : ถ้าใครแพลนว่าจะขึ้นเขา งัดพวก Heattech หนาๆ, เสื้อฟรีซ, สเวตเตอร์, เสื้อกันหนาวกันลมตัวนอก รวมถึงถุงมือ ที่ปิดหู และถุงเท้าหนาๆ ไปให้พร้อมก่อนขึ้นเขานะครับ รับรองว่าได้ใช้แน่
ด้านบนสุดนี้จะมีทางเชื่อมไปทะลุประเทศออสเตรียได้ เพราะเป็นจุดที่พรมแดนทั้ง 2 เชื่อมติดกัน แต่ให้ระวังนะครับ ขากลับตอนนั่งกระเช้าให้นั่งให้ถูก ขึ้นฝั่งเยอรมัน ต้องนั่งลงจากฝั่งเยอรมันนะครับ ไปนั่งฝั่งออสเตรียบัตรจะใช้ไม่ได้
นี่เป็นป้ายบอกเขตแดนว่าเรายังอยู่ในฝั่งเยอรมันนะ
เดินต่อมาอีกไม่ไกลมาก ก็จะเข้าสู่พรมแดนของประเทศออสเตรีย สังเกตสัญลักษณ์ครับ จะเป็นของแคว้น Tirol

พอลองมองไปฝั่งออสเตรีย หลายๆ พื้นที่ยังเป็นสีเขียวอยู่เลย ใบไม้ยังไม่เปลี่ยนสี รวมถึงยังไม่มีหิมะ นั่นทำให้ตอนที่ผมไป Salzburg และ Hallstatt จึงไม่เจอหิมะแต่อย่างใด พอลองมองย้อนกลับมาฝั่งเยอรมัน ก็เจอแบบในรูปเลยครับ
ภาพนี้เป็นมุมเดียวกับใน Webcam ที่ผมเช็คทุกวันก่อนจะถึงทริปนี้
ภาพส่วนนี้เป็นบริเวณด้านในของทางฝั่งออสเตรีย
3 ชั่วโมงบนนั้นผ่านไปไวมาก แล้วก็ถึงเวลาทีผมต้องเดินทางลงจากเขาครับ ระหว่างนี้ก็ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ
ในช่วงที่ผมขึ้นเขา เจอคนไทยเยอะมาก เรียกว่าเจอคนไทยตลอดทาง ลองนับๆ หัวดูเผลอๆ คนไทยจะมากกว่าฝรั่งอีก พอๆ กับตอนที่ผมไปปราสาท Neuschwanstein เลย ทุกที่เต็มไปด้วยคนไทย มีทั้งมากับทัวร์ และมากันเอง
จากนั้นผมก็นั่งกระเช้าลงไปยังทะเลสาบไอบ์ซี (Eibsee) เพื่อต่อรถไฟกลับไปยังสถานี Garmisch-Partenkirchen
Tip : หากมีเวลาพอ แนะนำให้เดินเล่นที่ทะเลสาบ Eibsee ก่อนได้ แต่ผมว่าวิวบริเวณที่กระเช้าลงมา ก็สวยแล้ว และ Eibsee สำหรับผมไม่ค่อยมีอะไร ที่สำคัญต้องเช็ครอบรถไฟให้ดีๆ เพราะถ้าพลาดรถไฟที่ออกจาก Eibsee ต้องรออีก 1 ชั่วโมงเต็ม รถไฟจะวิ่งทุกชั่วโมง และนั่นจะทำให้เวลาที่คุณต้องขึ้นรถไฟจาก Garmisch-Partenkirchen กลับไปที่ Munich หรือที่ไหนๆ จะต้องล่าช้าออกไปอีก 1 ชั่วโมง
ภาพแถบทะเลสาบ Eibsee ที่ผมว่าไม่ค่อยมีอะไร แต่ถ้าใครทำเวลาดี พอจะมีเวลาเหลือ ก็ลองมาเดินเล่นก็ได้ครับ
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปสถานีรถไฟ Eibsee เพื่อรอรถไฟกลับไปสถานีต้นทางครับ ถ้าถามผมว่าชอบที่ไหนที่สุดในทริป ผมก็ตอบเลยว่าผมชอบที่นี่นะ มันสวยมาก ของจริงคือสวยกว่านี้มาก แค่ยกกล้องขึ้นมาถ่ายมั่วๆ ก็ยังออกมาสวยเลย
ทิ้งท้ายกันไปด้วย 2 ภาพสุดท้ายจาก Zugspitze ครับ ส่วนผมหลังจากที่กลับไป Munich ก็แวะไปหาอะไรเย็นๆ จิบซักนิดก่อนกลับเข้าที่พักขอจบรีวิวไว้แต่เพียงเท่านี้นะครับ หวังว่ารีวิวนี้จะมีประโยชน์กับคนที่กำลังหาข้อมูลไป Zugspitze หรือใครที่กำลังวางแพลนเที่ยวเยอรมันอยู่บ้าง
0 comments