Swift

Hallstatt สวรรค์บนดิน ฟินจนต้องมีรอบ 2

5,410ไมล์ หรือคิดเป็นระยะทางกว่า 8,737 กิโลเมตร คือตัวเลขที่ผมพาตัวเองเดินทางข้ามทวีป มุ่งสู่จุดหมายปลายทางในฝันของใครหลายคน นั่นคือหมู่บ้านริมทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลก Hallstatt, ประเทศ Austria ครับ

รู้จักที่นี่ได้ยังไง??

ผมรู้จักหมู่บ้านแห่งนี้ จากซีรีย์เกาหลีเรื่อง Spring Waltz ที่พระเอกเป็นนักเปียโน และย้ายมาอยู่ที่เวียนนา เรื่องนี้ไปถ่ายทำกันที่ Vienna, และ Hallstatt ครั้งแรกที่ผมดูก็รู้สึกหลงรักที่นี่เข้าเต็มเปา แบบเมืองอะไรเนี่ยยย ทำไมมันสวยขนาดนี้ๆๆๆๆ
หลังจากนั้นความฝันของผมก็เป็นจริงในปี 2010 กับทริป Backpack ท่องยุโรปครั้งแรกกับทริป Austria - Czech ทำให้ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศสุดโรแมนติกที่หมู่บ้านแห่งนี้

และในปีนี้ก็ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่มีโอกาสได้กลับมาเยือน อาคารบ้านเรือน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม แต่ต้องบอกว่าบรรยากาศนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เพราะในรอบแรกผมไปช่วงฤดูหนาว ทุกที่ในหมู่บ้านถูกฉาบไปด้วยหิมะสีขาวโพลนเต็มไปหมด ส่วนรอบล่าสุดผมไปช่วงฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปลายเดือนตุลาที่ผ่านมา จึงได้เห็นบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี ก็เรียกว่าสวยไปอีกแบบครับ ส่วนฤดูไหนจะสวยกว่ากัน กระทู้นี้มีภาพมาให้ลองตัดสินกันเองเลยครับ

วิธีเดินทาง

การเดินทางไป Hallstatt ถ้าไม่นับทางรถยนต์ คร่าวๆ ก็มี 2 วิธีนะครับ

1.นั่งรถบัส 150 แล้วต่อรถบัส 542, 543 (หรือจะต่อรถไฟก็ทำได้)
2.นั่งรถไฟยาวไป แล้วนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากเอา

มาทำความรู้จักกับชื่อสถานีของเมืองนี้กันก่อนเนอะ จะได้ไม่งงกัน 

Hallstatt Lahn = ป้ายรถบัสจอดบริเวณหน้าหมู่บ้าน
Hallstatt Markt = ป้ายเรือเฟอร์รี่จอดที่หน้าโบสถ์เลย
Hallstatt Bahnhst = สถานีรถไฟ (อยู่อีกฟากของเมือง ต้องนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามไป)

ส่วนจะเลือกลงสถานีไหน ก็ให้ดูที่พักเป็นหลักครับ ว่าอยู่บริเวณไหน เช่นหากพักบริเวณ Main Square ก็จะใกล้กับท่าเรือ ก็ให้นั่งรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟ แล้วนั่งเรือข้ามฟากจะสะดวกกว่า เพราะเดินอีกนิดก็ถึง Main Square แล้ว

ส่วน ทริคในการหาตั๋วรถไฟ ราคาถูกทั่วยุโรป อ่านได้ที่ลิงค์นี้เลยครับ

เนื่องจากรอบแรกผมเดินทางโดยรถไฟจาก Salzburg ไปแล้ว รอบนี้ผมเลยลองนั่งรถบัสที่เค้าว่ากันว่าวิวข้างทางสวยนัก สวยหนา จะสวยจริงมั้ย ผมเลยต้องไปพิสูจน์ ดังนั้นการเดินทางในขานี้จะแพงกว่า 19 ยูโรครับ เพราะผมต้องซื้อ Bayern Ticket และค่ารถบัส 150 รวมถึงค่ารถบัสจาก Bad Ishi ไปที่ Hallstatt อีก และสุดท้ายคือค่าเรือเฟอร์รี่ข้ามฝั่งอีก 2 ยูโรกว่าๆ เบ็ดเสร็จอยู่ที่ 33 ยูโรครับ

แค่เพียง 2 ชั่วโมงจาก Munich ก็ถึง Salzburg แล้ว ซึ่งที่เลือกเดินทางโดยรถบัส อีกเหตุผลหนึ่งคือการแวะเที่ยวเมืองสุดโรแมนติกอย่าง Salzburg ที่ถือเป็นบ้านเกิดของคีตกวีชื่อก้องโลกอย่าง Wolfgang Amadeus Mozart นั่นเองครับ แต่เนื่องจากเวลาค่อนข้างจำกัด ผมจึงเก็บแค่สถานที่หลักๆ เช่นบ้าน Mozart, สวน Mirabell, และเดินชิวๆ แถวสะพานข้ามแม่น้ำ Salzach ที่เชื่อมระหว่างย่านเมืองใหม่ และเมืองเก่าของเมือง Salzburg เข้าด้วยกัน ส่วนบรรยากาศจะชิวขนาดไหน ไปชมกันได้เลยครับ

นอกจากนี้ที่สะพานแห่งนี้จะมีบรรดาคู่รักจากทุกมุมโลกนิยมมาคล้องกุญแจกันที่สะพาน เหมือนกับ สะพานปงเดซาร์ (Pont des Arts) ในกรุง Paris ด้วย
ที่เลือกเก็บแค่นี้ และตัดอีกหลายๆ ที่ออก เพราะผมเคยไปมาครบหมดแล้วตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อน ที่เดินหาบ้าน Mozart แล้วหลงขึ้นไปบนป้อม…เลยได้ภาพสวยๆ แบบนี้กลับมาครับ 55
นี่ภาพที่เมือง Salzburg แถวๆ สวน Mirabell ลองตัดสินกันเองนะครับ ว่าแบบฤดูไหนสวยกว่ากัน :P
หลังจากเดินเล่นชมเมือง ถ่ายรูป ก็ใกล้ถึงเวลาที่ผมต้องต่อรถบัส 150 หน้า Salzburg Hbf เราสามารถซื้อตั๋วกับคนขับได้เลยครับ โดยบอกปลายทางที่จะไปลง นั่นคือ Bad Ishi สุดสายของรถบัสคันนี้นั่นเอง ราคา 11 ยูโร โดยประมาณถ้าผมจำไม่ผิด
นี่เป็นภาพทิวทัศน์ข้างทางผ่านหน้าต่างบานใหญ่ของรถบัสคันนี้ แต่เจ้ารถบัสคันนี้ดันติดสติ๊กเกอร์ See through แบบที่ติดบนรถเมล์บ้านเรา ทำให้วิวที่มองเห็นผ่านกระจก ดร็อปลงไป 60-70% ครับ ถึงรูปที่ถ่ายมาจะไม่สวยเท่าไหร่ แต่วิวของ 2 ข้างทางก็คุ้มค่าที่เราจะลองเดินทางด้วยวิธีนี้กันครับ ระหว่างทางรถบัสคันนี้จะผ่านเมืองริมทะเลสาบที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ St.Wolfgang หากมีเวลาก็สามารถลงรถที่นี่ แวะเที่ยวต่อได้เลยครับ แต่เนื่องจากเวลาอันค่อนข้างจำกัด ผมจึงต้องเดินทางต่อไป Hallstatt เลย

ปล.รูปประกอบไม่ใช St.Wolfgang นะครับ ระหว่างนั่งรถบัส มันผ่านหลายทะเลสาบอยู่
ทีนี้กลับไปดูทางรถไฟกันบ้างครับ ว่าถ้ามารถไฟต้องมายังไง เริ่มจากที่ Salzburg เลยนะครับ จะเปลี่ยนขบวนแค่ครั้งเดียว คือให้เรานั่งไปลงที่สถานี Attnang-Puchheim จากนั้นก็นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฝั่งไปที่หมู่บ้าน
อันนี้เป็นทิวทัศน์ข้างทาง ถ้านั่งรถไฟนะครับ
หลังจากใช้เวลาเดินทางราวๆ 2 ชั่วโมงจาก Salzburg ก็มาถึง Hallstatt แว่บแรกที่มาถึง ลองชมภาพบรรยากาศในฤดูหนาวกันก่อนนะครับ
ส่วนนี่เป็นภาพจากทริปล่าสุดในฤดูใบไม้ผลิ

โรงแรม Gasthof Simony

ราคา : ห้องพัก 3 คนราคาอยู่ราวๆ 130-140€ ต่อคืน ราคาที่แน่นอนลองเช็คกันอีกทีนะ

เรื่องวิวผมว่าวิวจากโรงแรมนี้สวยกว่าอีกโรงแรมที่ผมนอนซะอีก รวมๆ ผมชอบที่นี่นะ โรงแรมนี้นักท่องเที่ยวชาวไทยหลายคนน่าจะรู้จัก ด้วยบรรยากาศเก่าๆ โบราณๆ และเป็นโรงแรมที่ Location ดีมาก อยู่ตรง Main Square เลย ทำให้เป็นที่่นิยม ขนาดกุญแจยังเหมือนพวกหนังฝรั่งสมัยก่อนอ่ะ เท่ดี ชอบๆ 55


โรงแรม Heritage Hotel Hallstatt

ราคา : ห้องพัก 2 คน ราคา 185€ ต่อคืน

จริงๆ ค่อนข้างคาดหวังกับที่นี่พอสมควร กับห้องพักราคา 7,400 กว่าบาทต่อคืน รวมๆ ก็ถือว่าสะดวกสบายดี Facilities เรียกว่าพร้อมสรรพ ผม Request ห้อง Lake View พร้อมระเบียงไป แต่ผิดแผนคือได้ตามที่ขอไปจริงครับทั้ง Lake View และระเบียง แต่ดันได้ชั้น 1 มันเลยต่ำเกินไปในความรู้สึกผม ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่

แต่เอาจริงๆ บรรยากาศแบบนี้ แค่นั่งจิบเบียร์ริมระเบียง ทอดสายตามองภูเขา และธรรมชาติโดยรอบ ผมว่าก็ฟินมากแล้ว

ผมตื่นมาในช่วงเช้า ออกไปนั่งริมระเบียง จิบ Weissbier เบาๆ ด้วยเสื้อยืดและสเวตเตอร์เพียงตัวเดียว ที่อุณหภูมิ 3 องศา แต่ไม่รู้สึกหนาวเท่าไหร่ คงเพราะในห้องอุ่นมาก บรรยากาศเช้าวันนั้นก็เลยชิวสุดๆ 

ข้อเสียคือเพดานมันไม่กันเสียง ได้ยินเสียงห้องข้างบนตลอดแทบจะทั้งคืนครับ



หลังจากเช็คอินเรียบร้อย ก็ออกไปเดินเล่นในเมือง ถ่ายรูปเล่น ค่อยๆ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างช้าๆ สัมผัสกับธรรมชาติ และบรรยากาศที่แสนงดงาม แค่นี้ก็ฟินสุดๆ แล้วครับ ผมไม่ไปเหมืองเกลือเนื่องจากเวลาค่อนข้างจำกัด จึงใช้เวลาเดินเล่นในหมู่บ้านเท่านั้น


ร้านอาหาร

ร้านอาหารแนะนำใน Hallstatt มี 3 ร้านครับ

1.Cafe Bachts Polreich เมนูแนะนำ ปลาเทร้าท์ย่างเกลือ
2.Gasthof Zauner

3.Gasthof Simony Restaurant am See

ครั้งแรกผมมาถึง Hallstatt วันอาทิตย์ ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ดูคึกคักดีครับ

แต่ทริปล่าสุดของผมมาถึง Hallstatt วันเสาร์ และที่น่าตกใจคือ ร้านอาหารในหมู่บ้านปิดแทบจะทุกร้าน มีเปิดอยู่ราวๆ 3 ร้าน คือ Heritage House (ร้านนี้อยู่ในโรงแรมที่ผมพัก ต้องจองนะครับ ผมลงมาตอนเย็นไม่มีโต๊ะแล้ว เค้าไม่รับลูกค้า Walk-in), ร้านใน Main Square จำชื่อไม่ได้, และอีกร้านคือร้านใกล้ๆ โบสถ์ Restaurant im Seehotel Gruner Baum

ผมเลยจะรีวิวร้าน Restaurant im Seehotel Gruner Baum ที่มีโอกาสไปลองมาแล้วกันครับ

มาเมืองสุดโรแมนติกแบบนี้ มันก็ต้องมี Dinner ใต้แสงเทียนกันนิดนึง

ราคาอาหารผมถือว่าแพงนะ มื้อนี้ผมโดนไปประมาณ 43€ (รวมทิป) กับอาหารจานหลัก 2 จาน และ Coke 2 แก้ว (ผมนึกว่าจะมาเป็นกระป๋อง)

รสชาติ ผมว่าจืดพอสมควร ทั้ง 2 จานที่สั่งมาเลย ไม่อยากบอกว่าไม่อร่อย เรียกว่าไม่ถูกปากดีกว่า ผมอาจจะไม่ชอบรสนี้ เลยค่อนข้างผิดหวังพอสมควร แต่เมนูอื่นอาจจะเวิคก็ได้นะครับ ยังไงถ้าใครมีโอกาสมาเที่ยว ก็ลองกันได้ครับ
ลองชมภาพบรรยากาศจากฤดูใบไม้ผลิก่อนนะครับ
มาดูบรรยากาศในฤดูหนาวกันบ้างครับ
 
เป็นไงกันบ้างครับ หลังจากรีวิวให้ชมกันทั้งฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ น่าจะช่วยทุกท่านในการตัดสินใจได้พอสมควร ว่าควรจะไปสัมผัสบรรยากาศหมู่บ้านริมทะเลสาบแห่งนี้ในช่วงไหนดี

ขอจบกระทู้รีวิวไว้เท่านี้ ถ้ายังไงถูกใจกันก็ฝากเข้าไปกด Like Fanpage กันด้วยนะครับ :P


You Might Also Like

0 comments

Instagram