การเดินทางมาเยือนประเทศในแถบ ยุโรป ช่วงฤดูหนาว คงไม่น่าจะเป็นที่โปรดปรานของนักท่องเที่ยวแถบเมืองร้อนอย่างเราๆ กันเท่าไรนัก แต่สำหรับนักท่องเที่ยวบางคน การได้พาตัวเองมาสัมผัสอากาศหนาวๆ และซึมซับบรรยากาศแบบยุโรป ที่ห้อมล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น และผลงานศิลปชั้นเลิศ น่าจะช่วยให้ลืมความหนาวไปได้เยอะ ใช่แล้วครับสำหรับในเล่มนี้ ผมจะพาคุณผู้อ่านหลบร้อนไปสัมผัสกลิ่นไอแห่งยุโรป ในช่วงฤดูหนาวกัน
Florence หรือ Firenze ตามภาษาท้องถิ่น เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในแคว้น Tuscany ประเทศอิตาลี ด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ และถูกขนานนามกันว่าเป็นเมืองแห่งศิลปที่มีสำคัญมากแห่งหนึ่งของโลก เพราะได้รวบรวมเอาผลงานศิลปชั้นเลิศ เอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น รูปปั้น Davis ที่ปั้นขึ้นโดย Michelangelo และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ที่ขึ้นชื่อว่า ใครที่มาเยือนประเทศอิตาลีแล้ว จะต้องไม่พลาดโอกาสในการมาเยือนเมืองนี้อย่างแน่นอน
จุดแรกที่ผมจะนำทุกท่านไปชมกันก็คือ มหาวิหารแห่งเมืองฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในแบบ Neo Gothic ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว และชมพู ซึ่งมหาวิหารแห่งนี้ใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของทวีปยุโรป ตามเมืองหลัก ๆ ในประเทศอิตาลีก็จะมีมหาวิหารตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง และเรียกกันว่า Duomo เช่น Duomo di Milano ในเมืองมิลาน หรือ Duomo di Firenze แห่งเมืองฟลอเรนซ์
สิ่งที่ทำให้ Duomo di Firenze สวยงามและโดดเด่นไม่แพ้ที่อื่น ๆ ก็คือโดมขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ออกแบบโดยศิลปิน Brunelleschi และด้านข้างยังมีหอระฆังที่สูงถึง 85 เมตร ให้นักท่องเที่ยวไต่ระดับความสูงของบันได 463 ขั้น เพื่อขึ้นไปชมทัศนียภาพทั่วทั้งเมืองฟลอเรนซ์แบบ 360 องศา โดยเสียค่าผ่านประตูคนละ 6 ยูโร
จุดถัดมาห่างจาก Duomo เพียง 700 เมตร สามารถเดินได้สบาย ๆ ก็จะถึง Palazzo Vecchio ซึ่งถือเป็นปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บริเวณลานกว้าง Piazza della Signoria โดดเด่นด้วยหอระฆังสูง ซึ่งในอดีตใช้ในการตีระฆังเพื่อแจ้งข่าวสารให้กับชาวเมือง นอกจากนี้ยังมีผลงานศิลปที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่รอบ ๆ ลานกว้าง ที่ขึ้นชื่อที่สุดก็คือ รูปปั้น Davis ผลงานชิ้นเอกของศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง Michelangelo นั่นเอง
แต่เดิมนั้นเป็นรูปปั้นของจริง แต่ในปัจจุบันเป็นเพียงรูปปั้นจำลอง เพราะรูปปั้นจริงถูกย้ายเข้าไปไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ Accademia ของเมือง Florence ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และง่ายต่อการดูแลรักษา บริเวณด้านหน้าลานกว้างยังมีรูปปั้นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็น Neptune Fountain ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1575 และรูปปั้นที่ขึ้นชื่ออีกมากมาย
จากนั้นเดินอีกเพียง 350-400 เมตร ก็จะถึงสะพานเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง Florence นั่นก็คือ Ponte Vecchio ซึ่งคำว่า Ponte ในภาษาอิตาเลียนมีความหมายว่า สะพาน ส่วน Vecchio ก็มีความหมายว่าเก่านั่นเอง บริเวณทั้ง 2 ฝั่งของสะพานในอดีตเป็นร้านค้า และพวกร้านขายเนื้อสัตว์ แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยร้านทองทั้งหมดแล้ว แต่บางจุดบนสะพานก็พอจะมีมุมให้นักท่องเที่ยวได้แทรกตัวเข้าไปถ่ายภาพ
สำหรับจุดสุดท้ายที่อยากแนะนำทุกท่าน ถ้าหากมีโอกาสได้เดินทางมายังเมืองฟลอเลนซ์แห่งนี้นั่นคือ Piazzale Michelangelo จุดชมพระอาทิตย์ตกที่ผมว่าสวยที่สุดในเมืองเลย การเดินทางมาที่นี่ ผมแนะนำให้เดินทางโดยรถประจำทางสาย 12 หรือ 13 จากบริเวณหน้าสถานี Firenze SMN ค่าโดยสารเพียงเที่ยวละ 1.5 ยูโร สามารถหาซื้อตั๋วได้ที่บริเวณร้านขายบุหรี่แถว ๆ สถานีก็ได้ครับ
จากจุดชมวิวตรงบริเวณนี้ จะสามารถชมความงามของเมืองฟลอเรนซ์จากมุมสูงได้ทั่วทั้งเมือง และเห็นสถานที่สำคัญ ๆ ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Duomo, Ponte Vecchio, หอระฆัง Giotto’s Campanile ฉากของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้าไป และสีของท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีโทนร้อนเป็นสีน้ำเงิน น่าจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมาสัมผัสเมือง Florence ได้เป็นอย่างดี
Florence หรือ Firenze ตามภาษาท้องถิ่น เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในแคว้น Tuscany ประเทศอิตาลี ด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ และถูกขนานนามกันว่าเป็นเมืองแห่งศิลปที่มีสำคัญมากแห่งหนึ่งของโลก เพราะได้รวบรวมเอาผลงานศิลปชั้นเลิศ เอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น รูปปั้น Davis ที่ปั้นขึ้นโดย Michelangelo และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ที่ขึ้นชื่อว่า ใครที่มาเยือนประเทศอิตาลีแล้ว จะต้องไม่พลาดโอกาสในการมาเยือนเมืองนี้อย่างแน่นอน
จุดแรกที่ผมจะนำทุกท่านไปชมกันก็คือ มหาวิหารแห่งเมืองฟลอเรนซ์ (Florence Cathedral) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นในแบบ Neo Gothic ด้านหน้าโบสถ์ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เขียว และชมพู ซึ่งมหาวิหารแห่งนี้ใหญ่เป็นลำดับที่ 4 ของทวีปยุโรป ตามเมืองหลัก ๆ ในประเทศอิตาลีก็จะมีมหาวิหารตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง และเรียกกันว่า Duomo เช่น Duomo di Milano ในเมืองมิลาน หรือ Duomo di Firenze แห่งเมืองฟลอเรนซ์
สิ่งที่ทำให้ Duomo di Firenze สวยงามและโดดเด่นไม่แพ้ที่อื่น ๆ ก็คือโดมขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง ออกแบบโดยศิลปิน Brunelleschi และด้านข้างยังมีหอระฆังที่สูงถึง 85 เมตร ให้นักท่องเที่ยวไต่ระดับความสูงของบันได 463 ขั้น เพื่อขึ้นไปชมทัศนียภาพทั่วทั้งเมืองฟลอเรนซ์แบบ 360 องศา โดยเสียค่าผ่านประตูคนละ 6 ยูโร
จุดถัดมาห่างจาก Duomo เพียง 700 เมตร สามารถเดินได้สบาย ๆ ก็จะถึง Palazzo Vecchio ซึ่งถือเป็นปราสาทเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บริเวณลานกว้าง Piazza della Signoria โดดเด่นด้วยหอระฆังสูง ซึ่งในอดีตใช้ในการตีระฆังเพื่อแจ้งข่าวสารให้กับชาวเมือง นอกจากนี้ยังมีผลงานศิลปที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่รอบ ๆ ลานกว้าง ที่ขึ้นชื่อที่สุดก็คือ รูปปั้น Davis ผลงานชิ้นเอกของศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง Michelangelo นั่นเอง
แต่เดิมนั้นเป็นรูปปั้นของจริง แต่ในปัจจุบันเป็นเพียงรูปปั้นจำลอง เพราะรูปปั้นจริงถูกย้ายเข้าไปไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ Accademia ของเมือง Florence ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย และง่ายต่อการดูแลรักษา บริเวณด้านหน้าลานกว้างยังมีรูปปั้นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอีกหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็น Neptune Fountain ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1575 และรูปปั้นที่ขึ้นชื่ออีกมากมาย
จากนั้นเดินอีกเพียง 350-400 เมตร ก็จะถึงสะพานเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง Florence นั่นก็คือ Ponte Vecchio ซึ่งคำว่า Ponte ในภาษาอิตาเลียนมีความหมายว่า สะพาน ส่วน Vecchio ก็มีความหมายว่าเก่านั่นเอง บริเวณทั้ง 2 ฝั่งของสะพานในอดีตเป็นร้านค้า และพวกร้านขายเนื้อสัตว์ แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยร้านทองทั้งหมดแล้ว แต่บางจุดบนสะพานก็พอจะมีมุมให้นักท่องเที่ยวได้แทรกตัวเข้าไปถ่ายภาพ
สำหรับจุดสุดท้ายที่อยากแนะนำทุกท่าน ถ้าหากมีโอกาสได้เดินทางมายังเมืองฟลอเลนซ์แห่งนี้นั่นคือ Piazzale Michelangelo จุดชมพระอาทิตย์ตกที่ผมว่าสวยที่สุดในเมืองเลย การเดินทางมาที่นี่ ผมแนะนำให้เดินทางโดยรถประจำทางสาย 12 หรือ 13 จากบริเวณหน้าสถานี Firenze SMN ค่าโดยสารเพียงเที่ยวละ 1.5 ยูโร สามารถหาซื้อตั๋วได้ที่บริเวณร้านขายบุหรี่แถว ๆ สถานีก็ได้ครับ
จากจุดชมวิวตรงบริเวณนี้ จะสามารถชมความงามของเมืองฟลอเรนซ์จากมุมสูงได้ทั่วทั้งเมือง และเห็นสถานที่สำคัญ ๆ ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น Duomo, Ponte Vecchio, หอระฆัง Giotto’s Campanile ฉากของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้าไป และสีของท้องฟ้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีโทนร้อนเป็นสีน้ำเงิน น่าจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมาสัมผัสเมือง Florence ได้เป็นอย่างดี
0 comments